รีวิวซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น4 Voice 2021

สำหรับหนังหรือซีรีส์ถ้าไม่ดีจริงการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อๆมาก็คงไม่มี แต่ถ้ามีเรื่องไหนที่ยืนระยะมาได้จนมีภาคต่อมาอย่างยาวนานนั่นคืองานนั้นต้องมีดีมีฐานคนดูที่มากพอ  แต่สิ่งที่ตามมาและเป็นราคาที่ต้องจ่ายคือมันจะไปถึงจุดตายที่การหมดมุขเรื่องราวเริ่มวนอยู่ที่เดิม  เพราะการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อนั้นไม่ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรก็ยังต้องคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แล้วสิ่งที่ตามมาคือเรื่องจะไม่พัฒนาไปมากกว่าที่เคยทำให้บางเรื่องวนอยู่กับที่จนสุดท้ายคนดูก็เริ่มหน่าย  ซึ่งสำหรับงานซีรีส์ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานอย่าง Voice ที่ออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2017 ที่กลายเป็นของขึ้นหิ้งของวงการที่ใครก็ต้องดู  เมื่อมาครบทั้งความหลอน  จิตตก  และประเด็นทางสังคม  ประกอบกับการแสดงในระดับสวมวิญญาณของอีฮานากับจางฮยอกรวมถึงคนอื่นๆกระทั่งตัวร้ายที่จิตสุดๆมันจึงทำให้งานออกมาลงตัวทุกมิติ รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น4 จนสืบทราบมาว่าเซอร์คัสแมนมีถิ่นที่อยู่ที่เกาะบีโมทีมโกลเด้นไทม์จึงต้องไปปฏิบัติภารกิจที่นั่น  แต่แล้วเบาะแสกลับชี้มาที่คังควอนจูเมื่อรูปถ่ายผู้ต้องสงสัยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคังควอนจูดั่งฝาแฝดแถมยังมีความสามารถทางประสาทหูเช่นเดียวกัน  คดีนี้จึงสร้างความงุนงงให้กับทั้งเธอเองและสายสืบโจแต่ระหว่างนั้นทีมโกลเด้นไทม์ก็ได้คลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นบนเกาะบีโมไปพร้อมๆกับการสืบหาเซอร์คัสแมน แล้วก็พบว่าแท้จริงแล้วเซอร์คัสแมนใช้วิธีหาเหยื่อผ่านเกมเกี่ยวกับการแก้แค้นเซอร์คัส ปิโอเร่ต์ที่พยายามหาเหยื่อที่เป็นเด็กขี้แพ้  เก็บกด  และมีปัญหากับครอบครัวเพื่อสังหารครอบครัวและตัวเด็กไปพร้อมๆกัน  แต่เรื่องก็ไม่ง่ายเมื่อการสืบลึกเข้าไปพบความเกี่ยวพันระหว่างคดีในอดีตที่มีผลต่อชีวิตของสายสืบโจ ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่คราวนี้เห็นชัดมากว่าไม่เรียบเนียสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือการเล่าเรื่องสานต่อจากจุดจบซีซันที่แล้วที่ลงตัว  และเห็นเป็นความฉลาดในการเล่าเรื่องในซีซันสองสามที่เป็นชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่ง จึงกลายเป็นว่านี่คือการเดินทางเพียงก้าวที่สามเท่านั้นของเรื่องราวของคังควอนจู และการเล่าเรื่องครั้งนี้คือการสานต่อเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง  เยี่ยมมากในการที่จะไม่ไปอ้างอิงจากซีซันแรกที่มาไกลแล้ว  และคนดูก็อาจไม่คิดไกลขนาดนั้นแต่ยังเก็บชิ้นส่วนมาใช้ได้อย่างดี  เพราะคนดูเดาไม่ออกว่าจะเล่าเรื่องแบบไหนเมื่อจุดสิ้นสุดในซีซันที่แล้วออกมาหน้านั้น  แต่เมื่อคนเขียนบทยังมีไอเดียมีสารตั้งต้นดีก็เล่าต่อได้อย่างเนียนๆ  เพียงแต่เดาว่าการถ่ายทำในช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังในภาวะโรคระบาดยังไม่คลี่คลายเต็มที่ในตอนนั้น  ได้ส่งผลให้มองเห็นความไม่เนี้ยบในตัวงานต่างจากที่เคยเห็นมาอย่างชัดเจน ซึ่งต้องแยกให้ออกคือในความเป็น Voice ที่เล่าเรื่องของทีมโกลเดนไทม์ที่ต้องคลี่คลายคดีแข่งกับเวลานั้นคดีย่อยๆที่ถูกเล่ายังมีริ้วรอยการหาทางลงง่ายๆ  แม้จะเร้าใจแต่บางครั้งก็เล่าไปข้างหน้าแบบลืมเรื่องหลักไปเป็นเวลานาน  ทำให้เรื่องของตัวร้ายหลักที่เนี้ยบในการปิดซ่อนอย่างเหนือความคาดหมายยากต่อการคาดเดาและมีเรื่องซ้อนเรื่องที่แข็งแรงดีแล้วแต่บางช่วงกลับถูกหลงลืมไปเพราะเรื่องสองส่วนเชื่อมกันไม่ติด  อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของน้ำหนักของเหตุการณ์เหตุและผลของการทำหรือไม่ทำดูเป็นแผลตั้งแต่ต้นจนจบ  การปล่อยทิ้งตัวละครบางตัวไปจนเห็นว่าบทหรือโครงเรื่องก็แน่น  แต่ข้อจำกัดทางด้านเวลาในภาวะโรคระบาดอย่างที่ว่าทำให้การลงรายละเอียดไม่สมบูรณ์  แต่กระนั้นสิ่งที่เป็นคือความเร้าใจและพลังยังแรงสูงในการเดินเรื่องเช่นเดิม  เพราะไม่ว่ายังไงความเป็น Voice ก็คือการเล่นกับเวลาที่ทำให้คนดูตื่นเต้นเร้าใจ แต่ก็ยังมีบ้างที่มีความนวยนาดให้เห็นแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อแค่อาจยังไม่บีบหัวใจจนหยุดดูไม่ได้เหมือนสามซีซันที่ผ่านมาที่ต้องยอมรับว่าคนดูหลายคนดูกันแบบเอาเป็นเอาตาย  แต่พอมาซีซันนี้กลับดูได้สบายๆหยุดดูแล้วมาดูใหม่ก็ไม่ได้สร้างความหงุดหงิด  ทั้งนี้เพราะมีสิ่งที่หายไปเลยที่กลายมาเป็นความต่างนั่นคืออารมณ์หลอน  ความรู้สึกเสียวสันหลังกับบรรยากาศ  ความโหดและความจิตของฆาตกร  และความกล้าทำร้ายจิตใจคนดูในการกำจัดตัวละครหลักที่ทำให้เจ็บปวด  แต่ซีซันนี้ไม่ได้มีครบอย่างที่เป็นกลายเป็นงานสืบสวนที่ดูสนุก  ยังคงมีความเป็น Voice และยังคงฉลาดในการสร้างทางไปต่อที่คงจะยังไม่ถึงทางตันง่ายๆ  แต่คราวนี้มันไม่เนี้ยบอย่างที่เคยเท่านั้น ตัวร้ายที่น่าประทับใจจนกลายเป็นสัญลักษณ์ในทุกเรื่องที่เล่า สิ่งที่ Voice เป็นและเยี่ยมมาตลอดคือการมีตัวร้ายที่น่าประทับใจ  ซึ่งการเลือกเล่าเรื่องในแต่ละเรื่องนั้นพื้นฐานตัวละครมักจะแข็งแรงและมีแบ็คที่แข็งไว้ให้ต่อกรยาก  ที่เหมือนกระชากหน้ากากสังคม VVIP ที่คงมีในสังคมบ้านเขา  เมื่อความรวยจน  ชื่อเสียง อ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ ชีวิตนักเรียนกฎหมาย Law School

สวัสดีผู้อ่านที่หลงเข้ามาในบทความ และกำลังหาซีรีส์สนุกๆ ดูละก็บอกเลยว่ามาถูกทางแล้วละค่ะ ซึ่งนี่เป็นซีรีส์เกาหลีที่กำลังฮิตติดเทรนด้วยเรื่องราวเข้มข้นและชวนน่าสงสัยทำเอาผู้ชมหลายๆ คนนั่งแทบไม่ติดต้องช่วยวิเคราะห์ไปตามๆ กัน กับ Law School ชีวิตนักเรียนกฎหมาย จะเป็นอย่างไรถ้าเกิดการฆาตกรรมขึ้นกลางศาลจำลอง หากพูดถึงซีรีส์กฎหมายที่เน้นกฎหมายจ๋าๆ จัดเต็มมาแบบเนื้อๆ ทุกฉาก ทุกตอน จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘Law School’ ซีรีส์ที่จะพาคุณปลดล็อคสกิลอ่านซับทองคำ ที่ขนทัพนักแสดงมากฝีมือมาประชันฟาดฟันข้อกฎหมายกันอย่างดุเดือด ซีรีส์กฎหมายที่ไม่ได้เน้นสืบสวนเหมือนอย่างซีรีส์ที่มีแกนหลักเป็นตำรวจหรืออัยการอย่างที่เราเคยเห็นในเรื่องอื่นๆ แต่ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่การงัดกันระหว่าง 2 ฝั่งที่ต่างมีอาวุธที่เหมือนกันคือ ‘ข้อกฎหมาย’ ที่อยู่ในกำมือ ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะเดินหมาก แก้เกมส์กันอย่างไรให้ชนะในศึกสงครามครั้งนี้ เรื่องย่อ ในขณะที่นักเรียนทุกคนกำลังพิจารณาคดีอยู่ที่ศาลจำลอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อ อาจารย์ซอพยองจู ได้เสียชีวิตลง และถูกระบุว่าเป็นการฆาตกรรมอย่างแน่นอน แต่ใครกันแน่จะเป็นผู้ร้ายตัวจริง เมื่อทุกคนที่อยู่ในการพิจารณาก็ดูน่าสงสัยกันหมด….การสืบหาการตายของ     ซอพยองจูจึงได้เกิดขึ้นพร้อมกับเรื่องราวความลับมากมายที่ถูกเผยออกมาทีละนิด รีวิว  ชีวิตนักเรียนกฎหมาย Law School Law School เป็นเรื่องราวของเหล่าอาจารย์และนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในโรงเรียนกฎหมายมหาวิทยาลัยฮันกุก โรงเรียนกฎหมายระดับแนวหน้าของประเทศ ที่อยู่ๆก็ต้องเข้าไปพัวพันในคดีฆาตกรรมซอพยองจู (รับบทโดย อันแนซัง) อดีตหัวหน้าอัยการคนสำคัญและอาจารย์ในวิชาศาลจำลอง ที่ได้เสียชีวิตลงอย่างปริศนาภายในห้องรับรองในวันที่เรียนศาลจำลองกันอยู่ การสืบหาตัวคนร้ายของเหตุฆาตกรรมนี้จึงเริ่มต้นขึ้น แต่เมื่อตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้งหมดแล้วหลักฐานทั้งหมดกลับพุ่งเป้ามาที่ อาจารย์ยังจงฮุน (รับบทโดย คิมมยองมิน) อดีตอัยการฝีมือดีที่ต้องลาออกจากการเป็นอัยการเพราะคดีรับสินบนของซอพยองจู แต่เมื่อถึงขั้นต่อสู้ในชั้นศาล ความจริงและหลักฐานที่เป็นดั่งจิ๊กซอว์ก็ค่อยๆปรากฏออกมาอ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE 2018

ถ้าเลือกได้ดูไปบ่นไปจะดูหนังและซีรีส์ทาง NETFLIX เป็นอันดับแรกด้วยความเสถียรและลื่นกว่าทุกแอปที่มีรวมถึง viu ที่มีข้อจำกัดที่ความคมชัดของภาพยังไม่เท่าไม่ค่อยเสถียร แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับอย่างหนึ่งว่าซีรีส์หรือหนังทาง NETFLIX (โดยเฉพาะของเกาหลี) หากไม่ใช่งานตีตรา Original จะค่อนข้างช้า  แอป viu เลยเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับซีรีส์ที่ผู้เขียนรอไม่ไหว  แล้วเมื่อตอนนั้นการรอคอยการมาของซีซันที่สองของซีรีส์ในตำนานที่ทั้งหลอนทั้งระทึกดิ่งลึกทางอารมณ์อย่าง Voice คืออาการใจจดใจจ่อ  และแน่นอนว่าปาดหน้าไปลงจอทาง viu ก่อนด้วยผลลัพธ์ที่ระทึกในแบบที่ดูกันยาวๆ  กับงานที่สานต่อความระทึกอารมณ์คุกรุ่นจากเกาหลีที่คราวนี้ไม่มีจางฮยอก รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร แต่แม้บทจะมีรอยรั่วบ้างแต่ความเป็น Voice ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ระทึกยังคงทำงานได้ผล ทุกคดีที่ทีมโกลเด้นไทม์ไขคือลุ้นแข่งกับเวลานาทีต่อนาทีที่ยังเร้าใจแม้ว่าในบางคดีก็หาทางออกง่ายไปและบางคดีก็ไม่ได้เสริมส่งเรื่องหลัก  ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทีมโกลเด้นไทม์ถูกก่อตั้งมานานพอควรเลยทำให้การทำงานลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ  และสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือตัวฆาตกรโรคจิตที่ฉลาดและซ่อนความร้ายไว้ใต้รูปลักษณ์ภายนอกได้เนียน  ประกอบกับชั้นเชิงการหลอกล่อคนดูให้หลงไปตามที่บทขุดหลุมพรางไว้ด้วยอารมณ์ไม่เชื่อใจใครได้สักคนยกเว้นคังควอนจูและลูกทีมที่นั่งในสำนักงาน  บทยังคงชี้นำคนดูให้คิดและคาดเดาแล้วหักมุมหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่าตามสไตล์  และถ้านั่นยังไม่สาแก่ใจตัวเอกอย่างโดคังอูก็มีพื้นหลังให้น่าสงสัยทำให้เรื่องราวทั้งหมดจัดว่าดี  สนุก  ระทึกขาดแค่อารมณ์อึดอัดและหลอนๆในบรรยากาศเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องชมอีกอย่างของบทคือการไม่รอที่จะเปิดเผยตัวร้ายเพื่อที่จะเล่นประเด็นใหม่ เช่นกันกับซีซันแรกที่เมื่อคนดูรอมานานและเริ่มล้ากับความรู้สึกก็ไม่รีรอที่จะเปิดตัวคนร้าย  ทั้งนี้เมื่อเปิดตัวแล้วกลับส่งผลให้อารมณ์คนดูที่เริ่มล้าและหย่อนลงกลับขมึงตึงขึ้นด้วยการล่อหลอกของคนร้ายกับตำรวจ  และเหมือนกับเป็นลูกล่อลูกชนระหว่างบทกับคนดูที่ได้ผล  แต่ก็ยังดูเหมือนหาทางลงง่ายๆในบทสรุปเมื่อตัวร้ายคล้ายกับตายน้ำตื้นแล้วจบแบบค้างคาเพื่อให้มีต่อมาในซีซันสาม  และโดยรวมของซีซันนี้ถ้าว่ากันที่ภาพรวมและดีกรีความระทึกก็จัดว่าอยู่ในระดับเอาดีได้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเมื่อเทียบกับซีซันแรก  ถ้าวัดเป็นกราฟเส้นกราฟของซีซันแรกจะสูงขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบแต่ซีซั่นนี้เริ่มต้นที่สูงแล้วหย่อนลงตอนกลางและกับพุ่งสูงขึ้นเมื่อเปิดหน้าไพ่สำคัญซึ่งยังจัดว่าน่าพอใจ ข้อมูลเกี่ยกับซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE ประเภท     แอคชั่น  อาชญากรรม ความลึกลับ ความยาว อ่านต่อ

รีวิว ซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น3 VOICE 2019

ถ้าได้ดู Voice มาทั้งสองซีซันโดยเฉพาะซีซันที่แล้วที่ทิ้งท้ายไว้อย่างเป็นปริศนาน่าติดตามว่าซีซันสามจะเขียนบทกลับมายังไง  และเป็นธรรมดาหรือว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Voice ที่พอเริ่มก็จะเดินไปข้างหน้าเต็มสูบซึ่งคนที่เคยดูจะทราบดีในซีซันแรกจัดว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซ พอมาซีซันสองพลังอาจลดลงบ้างแต่ความระทึกยังมาเต็มและการปกปิดเงื่อนปมเพื่อสับขาหลอกคนดูยังมิดชิดและได้ผล  ก่อนที่จะทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสงสัยชนิดที่ถ้าไม่มีให้ดูแบบต่อเนื่องอาจมีหงุดหงิด  และการกลับมาในซีซันสามคือการสานต่อเรื่องราวจากซีซันสองที่ทิ้งท้ายไว้และกับปมประเด็นที่เล่าไว้ที่จะมาเฉลยกันในซีซันนี้ที่พยายามเล่นใหญ่ขึ้น  ซับซ้อนขึ้น  แต่พลังมันกลับลดลงอย่างน่าเสียดาย รีวิว ซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น3 VOICE แปดเดือนให้หลังจากการไขคดีฆาตกรต่อเนื่องบังเจซูพร้อมกับอาการบาดเจ็บของผอ.คังควอนจู (อีฮานา) ที่ต้องทำกายภาพบำบัดและมีอาการผิดปกติที่หู  ส่วนหัวหน้าโดคังอู (อีจินอุค) หายตัวไป  จนเมื่อมีเหตุการณ์ฆาตกรรมอย่างสยดสยองที่ญี่ปุ่นแล้วหลักฐานไปพัวพันกับโดคังอูและเขาถูกตำรวจญี่ปุ่นจับ  ทีมโกลเดนไทม์จึงต้องเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อพาเขากลับมา  แต่เมื่อไปถึงก็มีคดีลักพาตัวนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่เกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเดนไทม์เอง  การไขคดีโดยใช้ความสามารถในการฟังของคังควอนจูโดยการร่วมมือของโดคังอูจึงสำเร็จแต่ก็เผยบางอย่างเกี่ยวกับโดคังอูที่ชวนสงสัย  เมื่อคดีแรกเริ่มต้นแล้วยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวเบื้องหลังของฆาตกรคนก่อนที่อยู่ในคุกการสืบคดีและสานต่อเรื่องราวก็เริ่มขึ้นบนความระทึกตื่นเต้นให้ได้ลุ้นได้ติดตามกันในทุกตอน แต่สิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่ซีซันที่แล้วก็ยังไม่กลับมาเรื่องความหลอน ถ้านั่นยังไม่หนำใจสิ่งที่ตกลงมาอีกคืออารมณ์ไม่ไว้วางใจใครได้ที่คราวนี้หายไปเลยเพราะทุกอย่างชี้ทางไปทางโดคังอูคนเดียวทำให้มิติของเรื่องหย่อนลงเพียงแต่ยังดูสนุกเข้าขั้น  แต่สิ่งที่เห็นว่าพยายามใส่มาในซีซันนี้คือการพยายามเล่นใหญ่ขึ้น  สเกลของเรื่องที่ใหญ่ขึ้น  บทที่พยายามซับซ้อนขึ้นซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่งเพียงแต่มันไม่สุด  การพยายามเชื่อมต่อหรือสานต่อ  ไม่สิ  มันคือเรื่องเดียวกันแต่แบ่งการเล่าเรื่องออกมาให้ได้สองซีซันมากกว่า  เพราะมันคือเรื่องเดียวกันแต่การพยายามซับซ้อนในเบื้องหลังมันไปลดทอนความน่าเชื่อถือที่พยายามสร้างมาในซีซันที่แล้ว เพราะซีซันที่แล้วการพยายามซ่อนปมเรื่องเบื้องหลังของบังเจซูถือว่ามิดชิด แต่บางครั้งการปิดไว้มิดจนเกินไปก็ไม่เป็นผลดีเพราะมันทำให้พอมาซีซันนี้กลายเป็นมาแบบลอยๆในเรื่องของด็อกเตอร์ฟาเบรในซีซันที่แล้วกับอ๊อคชั่นฟาเบรในดาร์กเว็ปในซีซันนี้เพราะดูเหมือนวัตถุประสงค์จะไม่เชื่อมโยงกัน  อีกส่วนหนึ่งที่ความพยายามซับซ้อนดึงเรื่องราวให้ดร็อปลงคือเรื่องของเทคโนโลยีไอทีที่เข้าใจยาก  ภาษาที่คนดูไม่คุ้นหูผู้ชมบางคนเลยไม่อิน (เช่นคนในวัยผู้เขียนนี่เอง) เพราะไม่เข้าใจในเบื้องหลังอย่างถ่องแท้  ซึ่งนั่นคือพื้นฐานที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวละครฆาตกรโรคจิต  และการที่คนดูรูสึกว่าเชื่อมต่อกันไม่ติดอารมณ์จะดร็อปลงในความน่าเชื่อถือและแรงจูงใจ แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมและยังคงทำหน้าที่ได้ดีคือบทในส่วนของเรื่องหลักและความเป็นเอกลักษณ์และความเป็น Voice ที่แม้การเดินเรื่องในส่วนของเรื่องหลักจะเป็นเส้นเรื่องเดียวกันแต่บทกลับทำหน้าที่ได้อย่างได้ผลในเรื่องของความระทึก  ความตื่นเต้นของการที่ต้องแข่งกับเวลา  เงื่อนปมที่ต้องปิดบังอย่างมิดชิด  ความเป็น Voice ที่จะมีในส่วนของการสืบหาตัวฆาตกรที่มอบความระทึกตื่นเต้นสงสัย  แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไม่รีรอที่จะเปิดตัวฆาตกรให้เห็นกันแล้วไปเล่นกับอารมณ์คนดูเรื่องของการหลอกล่อ  การเอาล่อเอาเถิดของฆาตกรกับตำรวจ และคนดูลุ้นว่าจะจับฆาตกรได้ยังไงหรือบทสรุปมันจะไปทางไหน  อีกอย่างคือฆาตกรของ Voice ทุกคนตั้งแต่ซีซันแรกคือคนที่ไม่น่าจะเป็นฆาตกร  การปกปิดตัวตนต้องเนี้ยบและฉลาด  เพียงแต่ในสองซีซันหลังพยายามขายความโหดมากไปเลยดูล้นไม่เหมือนกับซีซันแรกที่ยังมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวฆาตกรโรคจิต อีกสิ่งหนึ่งที่ Voice สัตย์ซื่อเสมอมาคือการไม่รีรอที่จะทำร้ายจิตใจคนดู ที่เป็นเสมอมาใน Voice คือการเลือกไม่ถนอมน้ำใจคนดูในบางเรื่องบางประเด็นซึ่งมันส่งผลให้อารมณ์คนดูอาจหดหู่แต่ได้ผลในการเรียกอารมณ์ร่วมซึ่งซีซันนี้ยังคงจัดเต็ม  เพราะการไม่ถนอมน้ำใจคนดูตอนนั้นมันสร้างอารมณ์ส่วนลึกของคนดูให้กลายเป็นปีศาจที่อยากจัดการฆาตกรอย่างสาสมและคนดูก็สาแก่ใจในตอนจบมาตั้งแต่ซีซันแรก  และสิ่งที่ผู้เขียนยังยืนยันเสมอมาคือตัวละครคังควอนจูและการแสดงของอีฮานาที่มองว่าคงไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่าเธอแล้ว  ยิ่งในซีซันนี้บทพยายามใส่มิติของเรื่องการบาดเจ็บทางหูให้เธอได้แสดงออกทางอารมณ์แต่เมื่อถึงเวลากลับหาทางออกแบบง่ายๆอย่างน่าเสียดาย  แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นในสถานการณ์ในเรื่องที่อึดอัดและต้องพบเจอหรือตัดสินใจในเรื่องโหดหินหรือแม้กระทั่งความไว้ใจอีฮานาเอาอยู่เช่นเคย ซึ่งผู้เขียนดูอีฮานาเล่นเป็นคังควอนจูมาสามซีซันแล้วรู้สึกสงสาร เพราะด้วยส่วนสูงของเธอทำให้ไม่ได้เห็นเธอเดินหรือยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย  กลายเป็นต้องค้อมหลังห่อใหล่เพราะไม่เช่นนั้นเธอจะดูสูงกว่าดาราชายหลายๆคนและถ้าสังเกตดีๆจะเห็นมุมกล้องที่ทำให้ส่วนสูงของเธอไม่ข่มคนอื่น อ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ Beyond Evil ปมปีศาจ

สืบเนื่องมาจากการสนทนาในวันหนึ่งกับท่านผู้อ่านถึงงานซีรีส์เกาหลีที่เข้าชิงรางวัล แพ็คซัง อาร์ตส์อวอร์ดส์ (2021) ซึ่งเป็นรางวัลประกาศความยอดเยี่ยมของวงการบันเทิงบ้านเขา ซึ่งในการสนทนานั้นมีคำถามที่ว่าผู้เขียนเองชื่นชอบ  เชียร์  และคาดว่าเรื่องไหนจะคว้ามงกุฎทองฝังเพชรไปครอง  แต่ตอนนั้นเองผู้เขียนกลับให้คำตอบไม่ได้  เพราะ ณ วันนั้น  ห้าอรหันต์ทองคำผู้เข้าชิงมงผ่านตาผู้เขียนไปเพียงสามเรื่อง  หนึ่งคือ It’s Okay To Not Be Okay อีกหนึ่งคือ Flower Of Evil ซึ่งเป็นการได้ชมก่อนที่จะรู้ผลการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงในตอนนั้น รีวิว Beyond Evil ปมปีศาจ สำหรับเนื้อหาของ Beyond Evil นั้น หลัก ๆ จะอยู่ที่การหาตัวอาชญากรใจเหี้ยม ผู้สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนชาวเกาหลีใต้ และแน่นอนว่าผู้ที่หวาดวิตกกว่าใคร ๆ คงหนีไม่พ้นผู้คนในเมืองมันยาง ซึ่งตัวคดีจะแบ่งออกเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในปัจจุบัน และคดีคนหายในอดีตที่เหยื่อคือ อียูยอน น้องสาวของ อีดงชิก ซึ่งรูปคดีโหดเหล่านี้ถูกก่อขึ้นอย่างแนบเนียน แทบจะไร้เบาะแสที่จะยึดโยงไปหาคนร้าย แม้แต่ร่างของเหยื่อยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงนิ้วสิบนิ้วที่ถูกตัดและจัดวางไว้อย่างน่าสะพรึงกลัว แต่ไม่เพียงแต่เท่านั้น เพราะนอกจากการตามล่าหาตัวฆาตกร ที่พบเห็นได้ตามซีรีส์สืบสวนส่วนใหญ่แล้ว Beyond Evil ยังสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจในระบบราชการของตำรวจอย่างชัดเจน ทั้งการสืบสวนแบบจับผิดบ้างจับถูกบ้าง การรีบสรุปรูปคดี การล่อซื้อที่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย อีกทั้งตลอดทั้งเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครที่เป็นตำรวจแทบจะทุกตัวในเรื่องนี้ต่างทำผิดกฎหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผ่านการใช้ช่องว่างของกฎและอำนาจที่มีอยู่ในมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แถมในเรื่องยังชี้ว่าผู้ต้องสงสัยก็วนเวียนอยู่ในแวดวงตำรวจเสียเอง แล้วแบบนี้จะเป็นอย่างไรหากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลับไม่ได้พิทักษ์ความสันติอย่างที่ว่ากัน? อีกทั้งตัวซีรีส์ยังสะท้อนถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจ ที่น่าหวาดกลัวไม่ต่างจากคนร้ายอ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ Juvenile Justice หญิงเหล็กศาลเยาวชน ผู้พิพากษาที่เคยเป็นเหยื่อจากอาชญากรที่เป็นเยาวชน

ณ ตอนนี้ ซีรีส์จากเกาหลีใต้อย่าง ‘Juvenile Justice’ หรือ ‘หญิงเหล็กศาลเยาวชน’ ซีรีส์ Netflix Original เรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลายเป็นซีรีส์กระแสแรงที่กำลังติดอันดับหนึ่งอยู่ในตอนนี้ครับ และกระแสก็กำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ ‘ฮงจงชัน’ (Hong Jong-Chan) ที่เคยมีผลงานกำกับซีรีส์มาหลายต่อหลายเรื่อง คราวนี้ เขาขอหยิบมุมมองเกี่ยวกับกฏหมาย โดยเฉพาะแง่มุมที่แทบไม่มีใครเคยหยิบจับมาก่อนอย่าง ‘กระบวนการยุติธรรมคดีเยาวชน’ มาเล่าผ่านซีรีส์เรื่องนี้ ผ่านมุมมองการเขียนบทของ ‘คิมมินซอก’ (Kim Min-Seok) เรื่องย่อ ผู้พิพากษา ชิมอึนซอก เธอเคยเป็นเหยื่อจากอาชญากรที่เป็นเยาวชน เธอจึงเกลียดผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง และในวันหนึ่งที่เธอถูกย้ายมาเป็นผู้พิพากษาประจำศาลเด็กและเยาวชนของเขตที่มีอาชญากรเด็กและเยาวชนเยอะที่สุด และเธอได้พบเจอกับคดีเยอะแยะมากมายหลังจากที่มาประจำอยู่ที่นี่ เธอได้ใช้วิธีการในแบบของเธอเองในการจัดการกับเยาวชนเหล่านั้น และมันก็ทำให้เธอเข้าใจเรื่องราวอะไรบางอย่างได้ดี รีวิว Juvenile Justice หญิงเหล็กศาลเยาวชน ซีรีส์เรื่องนี้บอกเลยนะว่า ดราม่าเข้มข้นสุด ไม่มีนะค่ะซีนขำ ซีนหลุด เพราะดำเนินเรื่องได้จริงจังเข้มข้นเหลือเกิน เน้นไปที่บทบาทของผู้พิพากษา ซึ่งในเรื่องแนวกฎหมายอื่นๆจะทำน้อย และเรื่องราวที่เน้นไปทางอาชญากรรมที่ก่อโดยอาชญากรที่ยังเป็นเด็กและเยาวชน เนื้อเรื่องเลยดูละเอียดอ่อนละทัชหัวใจคนดูมากๆ การเล่าเรื่องคือละเมียดละมัยแบบสุดๆ การพูดถึงอาชญากรที่เป็นเด็ก มันดูหดหู่และน่าสงสารในบางคนอ่านต่อ

รีวิว Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี (2023)

หลังจากที่ The Glory จบไปหลายคนก็คงติดใจและขวนขวายที่จะหาซีรีส์แนวล้างแค้นเอาคืนมารีบดูต่อตอนไฟยังติด Netflix เค้าก็คงรู้งานเลยหามาเสิร์ฟได้อย่างทันท่วงที ทำให้เราไม่พูดถึงซีรีส์เรื่องนี้เลยคงไม่ได้ เพราะนี่คืออีกครั้งของซีรีส์เกาหลีกับการที่คนตัวเล็กธรรมดา ๆ จะลุกขึ้นมาเขย่าบัลลังก์เทพเจ้าและนี่คือ Queenmaker ซีรีส์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เล่าเรื่องราวของหญิงแกร่งสองคนที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาร่วมมือกันโค่นบัลลังก์สุดยอดนายทุนผู้ที่คอยหนุนและชักใยอยู่เบื้องหลังคนในวงการการเมืองของเกาหลีใต้ นี่ไม่ใช่การแก้แค้นธรรมดาแต่เราจะได้เห็นเกมการเมืองแบบดำมืดบริสุทธิ์ ที่คนตัวเล็กกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้างกระดานโค่นอำนาจตระกูลใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เพียงแค่เรื่องย่อก็น่าสนใจขนาดนี้แล้ว มาดูกันดีกว่าว่าหลังจากดูจบเราจะได้อะไรจากเกมอาฆาตสุดเดือดครั้งนี้บ้าง เรื่องย่อ Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี บอกเล่าเรื่องราวของ ฮวังโดฮี (รับบทโดย คิมฮีแอ) หญิงสาวผู้ทำงานรับใช้ อึนซองกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์บังคับให้เธอต้องคอยสะสางปัญหา พลีกายถวายหัวเป็นกระโถนรองรับเรื่องโสมมของเจ้านายมานานหลายสิบปี ทว่าสิ่งตอบแทนสำหรับความภักดีนั้นมิใช่ชื่อเสียงเงินทอง หากแต่เป็นการถูกหลอกใช้โดยลูกเขยตระกูลอึนอย่าง แพคแจมิน (รับบทโดย รยูซูยอง) จนเป็นเหตุให้พนักงานสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งต้องถึงแก่ความตาย ซ้ำร้ายฮวังโดฮียังถูกเฉดหัวออกจากบริษัทอย่างไม่ใยดี รีวิว Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี (2023) ฮวังโดฮีคิดแก้แค้นอึนซองกรุ๊ปด้วยการเข้าหา โอกยองซุก (รับบทโดย มุนโซรี) ทนายความหญิงผู้ต่อสู้เพื่อชนชั้นแรงงานมาทั้งชีวิต ด้วยเป้าหมายสำคัญคือการผลักดันสตรีเหล็กคนนี้เข้าสู่ศึกชิงเก้าอี้ นายกเทศมนตรีกรุงโซล อันเป็นตำแหน่งสูงสุดที่คนตระกูลอึนกำลังทำทุกวิถีทางให้แพคแจมินได้ครอบครองมัน ทว่าการปั้นราชินีของมวลชนให้สำเร็จภายในเวลาเพียงแปดสิบวันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานของฮวังโดฮีต้องต่อกรกับศัตรูตัวฉกาจ รับมือสงครามสาดโคลนให้ทันท่วงที เพราะหากพวกเธอเพลี่ยงพล้ำเพียงเสี้ยววินาทีอาจไม่มีโอกาสลิ้มรสชัยชนะได้อีกเลย Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี ซีรีส์ดราม่าการเมืองความยาว 11 ตอน ออริจินอลคอนเทนต์จาก Netflix ควบคุมการผลิตโดย ผู้กำกับโอจินซอก หนึ่งในมืออาชีพที่เคยผ่านผลงานมาแล้วมากมายอาทิ Yong-Pal (2015) My First Firstอ่านต่อ

สนุกตื่นเต้นตามสูตรซีรีส์ผีดิบเกาหลี All of Us Are Dead มัธยมซอมบี้

ซีรีส์เกาหลีซอมบี้เดือดเรื่องล่าสุด มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) สร้างจากเว็บตูนเรื่องดังของ จูดงกึน นำแสดงโดย ยุนชานยอง, พัคจีฮู, พัคโซโลมอน และ โจอีฮยอน เรื่องราวของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสทำให้คนกลายเป็นซอมบี้ เหล่านักเรียนต้องรวมกลุ่มกันเพื่อฝ่าดงซอมบี้ออกไปให้ได้ ฉายให้ชมในวันที่ 28 มกราคม2022ครบทั้งหมด 12 ตอน  เรื่องย่อ  เกิดเรื่องราวโกลาหลขึ้นที่โรงเรียนมัธยมปลายฮโยซัน เมื่อเด็กสาวคนหนึ่งหายตัวไปและกลับมาในสภาพเหมือนถูกทำร้าย เธอบอกว่าถูก อีบยองชาน (รับบทโดย คิมบยองชอล) ครูสอนวิทย์จับขังไว้พร้อมกับฉีดยาบางอย่างให้กับเธอ ทำให้ทุกคนต่างตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ตำรวจกำลังสอบสวนอีบยองชาน เขากลับพูดเพียงแค่ว่าทุกอย่างสายเกินไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ผู้คนกลายเป็นซอมบี้ไล่กัดคนอื่น ๆ โดยมีจุดเริ่มต้นที่โรงเรียนแห่งนี้ เหล่านักเรียนผู้รอดชีวิตต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อฝ่าฝูงซอมบี้ออกไป แต่ต้องเผชิญทั้งความขัดแย้งและด้านมืดภายในใจ ขณะที่ฝั่งรัฐบาลกำลังวางแผนจัดการปัญหาไม่ให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น รีวิว สำหรับจุดเริ่มต้นการเกิดซอมบี้ของเรื่องนี้ไม่มีอะไรแตกต่างออกไปมากนัก ทำนองน้ำผึ้งหยดเดียวจากความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ดันแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยความสงสัย จนทำให้ถูกหนูทดลองที่ติดเชื้อไวรัสซอบบี้กัดนิ้วจนเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แม้ อีบยองชาน (รับบทโดย คิมบยองชอล) ครูสอนวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเชื้อไวรัสดังกล่าวพยายามควบคุมเหตุการณ์ไม่ให้บานปลาย แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์อันร้ายแรงประหนึ่งวันสิ้นโลกก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนเป็นหลัก ความน่าสนใจประการแรกจึงอยู่ที่การจั่วหัวเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ไม่สลับซับซ้อนจนหนักสมอง อัดแน่นความระทึกถึงใจสไตล์ซอมบี้เกาหลีที่มาด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นท่าทางการเดินที่ผิดรูปผิดร่าง เสียงกระดูกหักดังเปราะกระแทกหูตลอดทั้งเรื่อง จนกระทั่งวิธีการกัดสุดโหด เสือดสาดไส้ทะลักจนบางฉากต้องหรี่ตาดูโดยไม่รู้ตัว ความสนุกตื่นเต้นเหล่านี้เสิร์ฟถึงผู้ชมตั้งแต่ 20 นาทีของตอนแรกไปจนถึงตอนสุดท้ายชนิดแทบไม่ได้พักหายใจหายคอ เรียกว่าวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นจนคนดูแทบหอบและวิงเวียนแทนนักแสดงอ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ Thirty-Nine สามสิบเก้า มิตรภาพของแก๊งสาวย่างเข้าหลักสี่

เปิดฉากมาแบบเงียบ ๆ แต่ฟาดเรียบของจริงสำหรับ Thirty-Nine สามสิบเก้า ซีรีส์เมโลดราม่าเล่าชีวิตของแก๊งเพื่อนสามสาวที่กำลังย่างเข้าวัยหลักสี่อย่างเป็นทางการ ผลงานเรื่องล่าสุดก่อนเข้าประตูวิวาห์ของรักแรกแห่งชาติอย่าง ซนเยจิน ร่วมด้วย จอนมีโด และ คิมจีฮยอน หลังออกอากาศตอนแรกผ่านไปมีอะไรบ้างที่น่าประทับใจ ชวนไปติดตามกันได้จากรีวิวฉบับนี้ ซีรีส์ Thirty-Nine บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนสาวทั้งสามที่กำลังอยู่ในวัย 39 ปี ผ่านตัวละคร ชามีโจ (รับบทโดย ซนเยจิน) เด็กกำพร้าที่โชคดีได้ครอบครัวเศรษฐีอุปการะตั้งแต่เยาว์วัย ปัจจุบันเธอเป็นผู้อำนวยการคลีนิกเสริมความงามชื่อดังและกำลังวางแผนเดินทางไปพักผ่อนและเรียนตีกอล์ฟยังสหรัฐอเมริกา แต่เหตุการณ์บางอย่างทำให้เธอได้พบกับ คิมซอนอู (รับบทโดย ยอนอูจิน) ครูสอนภาษาอังกฤษในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเคยอาศัยอยู่ เรื่องราวความรักครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เรื่องย่อ รื่องของสามสาวโสดที่วัยขยับใกล้ทึนทึกประกอบด้วย ชามีโจ (ซนเยจิน) แพทย์ผิวหนังที่เป็นเฟอร์เฟคต์วูเมน สวย  รวย  เก่ง จองชานยอง (จอนมีโด) ครูสอนการแสดงผู้มาดมั่นและเท่ และจางจูฮี (คิมจีฮยอน) พนักงานขายเครื่องสำอางในห้างที่เป็นคนตะมุตะมิมุ้งมิ้ง สามคนสามบุคลิกคือสามเพื่อนแท้ที่มิตรภาพได้ก่อตัวมาตั้งแต่เรียนมัธยมผ่านการตามหาแม่แท้ๆของชามีโจ ใช่แล้วชามีโจคือเด็กกำพร้าที่ถูกรับมาอุปการะและเติบโตมาด้วยดี  จากครานั้นหญิงสาวสามคนก็ได้ใช้เวลาช่วงชีวิตยี่สิบมาด้วยกัน  ใช้เวลาชีวิตช่วงสามสิบมาด้วยกัน  เมาด้วยกัน  เรื้อนด้วยกัน  แน่นอนว่าความรักที่ก่อตัวจากมิตรภาพมันแนบแน่นจนทั้งสามเหมือนเป็นชิ้นส่วนในชีวิตกันและกันที่ไม่มีวันขาดกันได้จนวัยล่วงเลยมาที่เลขสามสิบเก้า สามสิบเก้าคือตัวเลขที่หลายคนอาจถอดใจกับการมีชีวิตคู่  เช่นกันกับสามสาวที่ปล่อยเรื่องชีวิตคู่เป็นดั่งก้อนเมฆที่ล่องลอย  มองเห็นแต่ไม่อาจเอื้อมมือไปจับต้องด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป  จวบจนชามีโจได้มีก่อร่างความสัมพันธ์กับคิมซอนฮู (ยอนอูจิน) แพทย์ผิวหนังที่มาทำงานในคลีนิคของชามีโจ ในขณะที่ความรั่วและตะมุตะมิของจางจูฮีได้พาเธอไปต้องชะตากับพัคฮยอนจุน (อีแทฮวาน) เชฟหนุ่มที่เด็กกว่า (แล้วไง) ที่มาเปิดร้านอาหารจีนใกล้บ้าน  มีเพียงจองชานยองที่มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับคิมจินซอก (อีมูแซง) ประธานบริษัทเอเจนซี่ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว  และจองชานยองก็ถูกตราหน้าว่าเป็นชู้กับสามีคนอื่นทั้งที่เธอพยายามรักษาระยะห่าง  แต่ผู้ชมก็รับรู้ว่าจองชานยองคือผู้แพ้ที่มาก่อนผู้น่าเห็นใจ จองชานยอง (รับบทโดย จอนมีโด) ครูสอนการแสดงผู้มีบุคลิกโผงผาง อารมณ์ร้อน พูดจาขวานผ่าซากแต่มีความจริงใจ ชีวิตรักของเธอกำลังติดหล่มกับ คิมจีซอก (รับบทโดย อีมูแซง) เจ้าของธุรกิจบันเทิงที่ตกหลุมรักกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปฝ่ายชายกลับเลือกแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนซึ่งกำลังตั้งครรภ์ แม้จองชานยองจะอยู่ในสภาพจำยอมแต่ด้วยความรักและความผูกผันทำให้เธอพบกับทางแยกของชีวิตที่ตัดสินใจได้ยาก และสาวคนสุดท้ายคือ จางจูฮี (รับบทโดย คิมจีฮยอน) ผู้จัดการเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ในห้างสรรพสินค้าอ่านต่อ

รีวิวซีรีส์ Goblin ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ

ซีรีส์เริ่มต้นการเล่าเรื่องของ คิมชิน ซึ่งเป็น ทกแกบี หรือ ก็อบลิน (แสดงโดย กงยู) ที่ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านเขาเฝ้ารอเจ้าสาวของเขาเพราะเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้เขาเป็นอิสระและหลุดพ้นจากการมีชีวิตที่เป็นอมตะเนื่องจากก็อบลินอยู่แบบไม่ตายมาเนิ่นนานกว่าหลายร้อยปีซึ่งนั่นมันทำให้ก็อบลินรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ในจุดที่โดดเดี่ยวมาโดยตลอด เรื่องย่อซีรีย์ คิมทัน (Goong Yoo/กงยู จากชีส์ ‘Coffee Prince’ และหนัง Train To Busan) คือชื่อของแม่ทัพในบนแผ่นดินเกาหลีในอดีต เขาเป็นคนผู้แข็งแร่งและรหดจนใครๆ ก็เรียกว่าเป็นพระเจ้า แต่เพราะเขา มีอิทธิพลหรือแข็งแกร่งเกินไปอะไรอย่างนั้น วันหนึ่งเขาก็เลยถูกกำจัด เขามีดาบเล่มใหญ่ปักอยู่บนอกและถูกทิ้งให้แห้งตาย และสุดท้ายเขาต้องกลับกลายเป็นก็อบลิน ก็อบลิน (ในภาษาเกาหลีจะเรียกว่า Dokkaebi) คือผู้ที่ถูสาปให้คงอยู่ช่นั้น จนกว่าจะพบกับจ้าสาที่เป็นมนุษย์ผู้ที่จะมาปลดปลื้องคำสาป ถึงดบเล่มที่ปักอยู่แล้ชีวิตของก็อบลินก็จะดับสูญและสู่สุคติ แต่คืนหนึ่ง เขาได้ช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ผู้หนึ่งไว้จากความตาย ส่งผลให้ยมทูต (Lee Dong Wook จากซีรีส์ ‘Life) จึงไม่อาจหาหญิงคนนั้นได้พบ และส่งผ ให้มีเด็กหญิงคนหนึ่งเกิดขึ้นมาทั้งที่ไม่ควรมี โอกาสนั่น เด็กหญิงผู้นั้นคือ จีอึนทัก (Kim Goอ่านต่อ