รีวิวหนัง "The Boogeyman เดอะ บูกี้แมน" ผีหลอนไม่มาก แค่อยากซื้อไฟไปติดให้เพิ่ม

นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตำนานผีปรำปราของฝั่งอเมริกา ที่เราอาจจะเคยได้ยินได้สัมผัสกับมาบ้าง เพราะที่มันดังได้ก็มาจากเจ้าพ่อนิยายสยอง “สตีเวน คิง” นำมาร้อยเรียงสร้างเป็นเรื่องราวให้ชวนหลอน กลายออกมาเป็น “The Boogeyman” ที่ฉบับนี้อิงมาจากงานเขียนสุดคลาสสิกโดยเฉพาะ ที่จะมาเบิกทางตำนานผีตู้เสื้อผ้าที่ฝรั่งกลัวหนักหนา แต่ความหลอนเฮี้ยน..จะทำได้ถึงขั้นนั้นหรือไม่? นี่คือเรื่องราวของ ซาดี้ ฮาร์เปอร์ นักเรียนหญิงวัยมัธยมปลายและ ซอว์เยอร์ น้องสาวของเธอ ที่ยังคงทำใจไม่ได้กับการสูญเสียแม่อย่างกะทันหัน และไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ดีพอจาก วิล พ่อของพวกเขา ที่มีอาชีพเป็นนักจิตวิทยาบำบัด เพราะตัวเขาเองก็ยังคงรับมือกับความเจ็บปวดของตัวเองอยู่ วันหนึ่งมีผู้ป่วยสุดเวทนาโผล่มาที่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วผู้ป่วยคนนั้นก็ได้ทิ้งเรื่องราวเหนือธรรมชาติสุดสะพรึงที่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาตกเป็นเหยื่อของเรื่องลี้ลับ อาจจะบอกได้หนังเรื่องนี้ก็เป็นตามสูตรสำเร็จของจำพวกหนังผีสุดสยอง ที่ใช้บริการผู้กำกับดาวรุ่งมาชิมลางถ่ายทอดความหลอนแบบเดิม ๆ ที่เราอาจจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว “ร็อบ ซาเวจ” ที่่ผ่านงานกำกับซีรีส์และหนังสยองทุนต่ำมาหลายเรื่อง เขารู้วิธีรับมือกับหนังเรื่องนี้ดี ด้วยการสร้างบรรยากาศชวนหลอนและสะพรึงกลัว อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับงบประมาณของหนังเอาไว้ได้อย่างน่าพอใจทีมผู้บริหารเลยแหละ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันหรือไม่ แต่ตลอดระยะเวลาที่นั่งดู The Boogeyman เรื่องนี้ แอบรู้สึกและนึกถึงรสสัมผัสแบบที่เคยลิ้มลองมาแล้วในหนังดังแจ้งเกิดของผู้กำกับ เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก อย่าง “Lights Out” เมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่มาในโทนคล้าย ๆ กันอ่านต่อ

รีวิวหนัง "อ๊กซู : สถานีผีดุ THE GHOST STATION"

เปิดประตูสู่ความสยองขวัญสั่นประสาทไปกับภาพยนตร์เรื่อง “อ๊กซู : สถานีผีดุ THE GHOST STATION (อ๊กซู : สถานีผีดุ เดอะ โกสท สเตชั่น)” ร้อยเรียงเรื่องราวจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง ก่อนนำมาสร้างเป็น WEBTOON โดยในภาพยนตร์ยังได้คว้าตัวผู้เขียนบทหนังสยองขวัญฝีมือดี ฮิโรชิ ทาคาฮาชิ มาเป็นผู้รังสรรค์เรื่องราว โดยมี จองยงกิ นั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นอีกหนึ่งเนื้อหาที่จะพาคุณไขปริศนาที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว และยังสะท้อนมุมมองของอาชีพนักข่าวเข้ามาได้ดีพอสมควร ชวนขนลุกขนพองตลอดทั้งการรับชม เรื่องย่อ เรื่อง “อ๊กซู : สถานีผีดุ THE GHOST STATION” เป็นเรื่องราวของ นายอง นักข่าวสาวผู้ต้องการทำข่าวให้ได้ผลตอบรับที่ดีตามเป้าหมายของหัวหน้า ทว่าเขากลับทำผิดพลาดจึงต้องหาข่าวใหม่มาทดแทน เขาได้ขอร้อง ชเวอูวอน เพื่อนของเขาที่เป็นพนักงานบริการสาธารณะที่สถานีอ๊กซูที่เพิ่งพบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เธอจึงเข้ามาคลุกคลีกับเหตุการณ์ลึกลับบางอย่าง และเปิดโปงความจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มต้นมาก็สามารถเรียกความน่าสะพรึงกลัวได้เป็นอย่างดี กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สถานีอ๊กซู มีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายก่อนจะย้อนเนื้อหากลับไปเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา จุดเริ่มต้นเหตุการณ์ของทั้งหมด โดยมีนักข่าวสาว นายอง เป็นผู้ดำเนินเนื้อหาหลัก เมื่อเธอนั้นต้องแก้ไขข่าวที่ทำผิดพลาด และเพื่อยอดการเข้าชมข่าวในการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในการฟ้องร้อง ทำให้เธอได้เข้าสู่เรื่องพิศวง เมื่อเพื่อนของเธอทั้ง 2 คนที่สถานีอ๊กซูอ่านต่อ

รีวิวหนัง “Spider-Man: Across the Spider-Verse”

ดูเหมือนว่าหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่และเป็นตัวแทนของหนังมาร์เวลในศักราชนี้ไปเสียแล้ว และนี่คือการกลับมาสานต่อในภาตต่อแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งคว้าออสการ์มาครองได้แล้วใน “Spider-Man: Across the Spider-Verse สไปเดอร์แมน: ผงาดข้ามจักรวาลแมงมุม” ที่กลับมาคราวนี้ บอกได้เลยว่า…มาเพื่อยกมาตรฐานของตัวเองขึ้นไปอีก สำหรับในหนัง Spider-Man: Across the Spider-Verse ยังคงโฟกัสที่ตัวละคร อย่าง ไมล์ส โมราเลส เช่นเดิม กับเรื่องราวบทใหม่ของการผจญภัยของเพื่อนบ้านที่แสนดีแห่งบรู๊คลิน ไปสู่มัลติเวิร์สร่วมกับ เกว็น สเตซี่ ของผองเพื่อนมนุษย์แมงมุมเพื่อเผชิญหน้ากับวายร้ายที่ทรงพลังยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยเจอ และเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการเอาไว้ ในขณะที่หนังมาร์เวลฉบับคนแสดงต้องเผชิญหน้ากับแพสชั่นที่ยิ่งสร้างยิ่งท้อใจคนดูเรื่อย ๆ แต่ฉบับแอนิเมชั่นกลายเป็นฝั่งที่ค่อย ๆ รุ่งโรจน์และรุ่งเรืองขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ และการกลับมาของ Spider-Man: Across the Spider-Verse เรื่องนี้ก็ได้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า นี่คือหนังฮีโร่แอนิเมชั่นที่ตอบโจทย์และมอบทุก ๆ อรรถรสให้กับผู้ชมอย่างเต็มอิ่ม เหมือนกับหนังมาร์เวลยุคก่อนเมื่อทศวรรษที่แล้วแบบนั้นเลย ต้องบอกว่านี่คือการผนึกกำลังที่สุดเจ๋งของดรีมทีมอย่างแท้จริง เพราะ 3 ผู้กำกับ “เคมป์ พาวเวอร์ส”, “วาคิม ดอส ซานโตส” และอ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น4 Voice 2021

สำหรับหนังหรือซีรีส์ถ้าไม่ดีจริงการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อๆมาก็คงไม่มี แต่ถ้ามีเรื่องไหนที่ยืนระยะมาได้จนมีภาคต่อมาอย่างยาวนานนั่นคืองานนั้นต้องมีดีมีฐานคนดูที่มากพอ  แต่สิ่งที่ตามมาและเป็นราคาที่ต้องจ่ายคือมันจะไปถึงจุดตายที่การหมดมุขเรื่องราวเริ่มวนอยู่ที่เดิม  เพราะการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อนั้นไม่ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรก็ยังต้องคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แล้วสิ่งที่ตามมาคือเรื่องจะไม่พัฒนาไปมากกว่าที่เคยทำให้บางเรื่องวนอยู่กับที่จนสุดท้ายคนดูก็เริ่มหน่าย  ซึ่งสำหรับงานซีรีส์ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานอย่าง Voice ที่ออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2017 ที่กลายเป็นของขึ้นหิ้งของวงการที่ใครก็ต้องดู  เมื่อมาครบทั้งความหลอน  จิตตก  และประเด็นทางสังคม  ประกอบกับการแสดงในระดับสวมวิญญาณของอีฮานากับจางฮยอกรวมถึงคนอื่นๆกระทั่งตัวร้ายที่จิตสุดๆมันจึงทำให้งานออกมาลงตัวทุกมิติ รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น4 จนสืบทราบมาว่าเซอร์คัสแมนมีถิ่นที่อยู่ที่เกาะบีโมทีมโกลเด้นไทม์จึงต้องไปปฏิบัติภารกิจที่นั่น  แต่แล้วเบาะแสกลับชี้มาที่คังควอนจูเมื่อรูปถ่ายผู้ต้องสงสัยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคังควอนจูดั่งฝาแฝดแถมยังมีความสามารถทางประสาทหูเช่นเดียวกัน  คดีนี้จึงสร้างความงุนงงให้กับทั้งเธอเองและสายสืบโจแต่ระหว่างนั้นทีมโกลเด้นไทม์ก็ได้คลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นบนเกาะบีโมไปพร้อมๆกับการสืบหาเซอร์คัสแมน แล้วก็พบว่าแท้จริงแล้วเซอร์คัสแมนใช้วิธีหาเหยื่อผ่านเกมเกี่ยวกับการแก้แค้นเซอร์คัส ปิโอเร่ต์ที่พยายามหาเหยื่อที่เป็นเด็กขี้แพ้  เก็บกด  และมีปัญหากับครอบครัวเพื่อสังหารครอบครัวและตัวเด็กไปพร้อมๆกัน  แต่เรื่องก็ไม่ง่ายเมื่อการสืบลึกเข้าไปพบความเกี่ยวพันระหว่างคดีในอดีตที่มีผลต่อชีวิตของสายสืบโจ ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่คราวนี้เห็นชัดมากว่าไม่เรียบเนียสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือการเล่าเรื่องสานต่อจากจุดจบซีซันที่แล้วที่ลงตัว  และเห็นเป็นความฉลาดในการเล่าเรื่องในซีซันสองสามที่เป็นชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่ง จึงกลายเป็นว่านี่คือการเดินทางเพียงก้าวที่สามเท่านั้นของเรื่องราวของคังควอนจู และการเล่าเรื่องครั้งนี้คือการสานต่อเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง  เยี่ยมมากในการที่จะไม่ไปอ้างอิงจากซีซันแรกที่มาไกลแล้ว  และคนดูก็อาจไม่คิดไกลขนาดนั้นแต่ยังเก็บชิ้นส่วนมาใช้ได้อย่างดี  เพราะคนดูเดาไม่ออกว่าจะเล่าเรื่องแบบไหนเมื่อจุดสิ้นสุดในซีซันที่แล้วออกมาหน้านั้น  แต่เมื่อคนเขียนบทยังมีไอเดียมีสารตั้งต้นดีก็เล่าต่อได้อย่างเนียนๆ  เพียงแต่เดาว่าการถ่ายทำในช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังในภาวะโรคระบาดยังไม่คลี่คลายเต็มที่ในตอนนั้น  ได้ส่งผลให้มองเห็นความไม่เนี้ยบในตัวงานต่างจากที่เคยเห็นมาอย่างชัดเจน ซึ่งต้องแยกให้ออกคือในความเป็น Voice ที่เล่าเรื่องของทีมโกลเดนไทม์ที่ต้องคลี่คลายคดีแข่งกับเวลานั้นคดีย่อยๆที่ถูกเล่ายังมีริ้วรอยการหาทางลงง่ายๆ  แม้จะเร้าใจแต่บางครั้งก็เล่าไปข้างหน้าแบบลืมเรื่องหลักไปเป็นเวลานาน  ทำให้เรื่องของตัวร้ายหลักที่เนี้ยบในการปิดซ่อนอย่างเหนือความคาดหมายยากต่อการคาดเดาและมีเรื่องซ้อนเรื่องที่แข็งแรงดีแล้วแต่บางช่วงกลับถูกหลงลืมไปเพราะเรื่องสองส่วนเชื่อมกันไม่ติด  อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของน้ำหนักของเหตุการณ์เหตุและผลของการทำหรือไม่ทำดูเป็นแผลตั้งแต่ต้นจนจบ  การปล่อยทิ้งตัวละครบางตัวไปจนเห็นว่าบทหรือโครงเรื่องก็แน่น  แต่ข้อจำกัดทางด้านเวลาในภาวะโรคระบาดอย่างที่ว่าทำให้การลงรายละเอียดไม่สมบูรณ์  แต่กระนั้นสิ่งที่เป็นคือความเร้าใจและพลังยังแรงสูงในการเดินเรื่องเช่นเดิม  เพราะไม่ว่ายังไงความเป็น Voice ก็คือการเล่นกับเวลาที่ทำให้คนดูตื่นเต้นเร้าใจ แต่ก็ยังมีบ้างที่มีความนวยนาดให้เห็นแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อแค่อาจยังไม่บีบหัวใจจนหยุดดูไม่ได้เหมือนสามซีซันที่ผ่านมาที่ต้องยอมรับว่าคนดูหลายคนดูกันแบบเอาเป็นเอาตาย  แต่พอมาซีซันนี้กลับดูได้สบายๆหยุดดูแล้วมาดูใหม่ก็ไม่ได้สร้างความหงุดหงิด  ทั้งนี้เพราะมีสิ่งที่หายไปเลยที่กลายมาเป็นความต่างนั่นคืออารมณ์หลอน  ความรู้สึกเสียวสันหลังกับบรรยากาศ  ความโหดและความจิตของฆาตกร  และความกล้าทำร้ายจิตใจคนดูในการกำจัดตัวละครหลักที่ทำให้เจ็บปวด  แต่ซีซันนี้ไม่ได้มีครบอย่างที่เป็นกลายเป็นงานสืบสวนที่ดูสนุก  ยังคงมีความเป็น Voice และยังคงฉลาดในการสร้างทางไปต่อที่คงจะยังไม่ถึงทางตันง่ายๆ  แต่คราวนี้มันไม่เนี้ยบอย่างที่เคยเท่านั้น ตัวร้ายที่น่าประทับใจจนกลายเป็นสัญลักษณ์ในทุกเรื่องที่เล่า สิ่งที่ Voice เป็นและเยี่ยมมาตลอดคือการมีตัวร้ายที่น่าประทับใจ  ซึ่งการเลือกเล่าเรื่องในแต่ละเรื่องนั้นพื้นฐานตัวละครมักจะแข็งแรงและมีแบ็คที่แข็งไว้ให้ต่อกรยาก  ที่เหมือนกระชากหน้ากากสังคม VVIP ที่คงมีในสังคมบ้านเขา  เมื่อความรวยจน  ชื่อเสียง อ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ ชีวิตนักเรียนกฎหมาย Law School

สวัสดีผู้อ่านที่หลงเข้ามาในบทความ และกำลังหาซีรีส์สนุกๆ ดูละก็บอกเลยว่ามาถูกทางแล้วละค่ะ ซึ่งนี่เป็นซีรีส์เกาหลีที่กำลังฮิตติดเทรนด้วยเรื่องราวเข้มข้นและชวนน่าสงสัยทำเอาผู้ชมหลายๆ คนนั่งแทบไม่ติดต้องช่วยวิเคราะห์ไปตามๆ กัน กับ Law School ชีวิตนักเรียนกฎหมาย จะเป็นอย่างไรถ้าเกิดการฆาตกรรมขึ้นกลางศาลจำลอง หากพูดถึงซีรีส์กฎหมายที่เน้นกฎหมายจ๋าๆ จัดเต็มมาแบบเนื้อๆ ทุกฉาก ทุกตอน จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘Law School’ ซีรีส์ที่จะพาคุณปลดล็อคสกิลอ่านซับทองคำ ที่ขนทัพนักแสดงมากฝีมือมาประชันฟาดฟันข้อกฎหมายกันอย่างดุเดือด ซีรีส์กฎหมายที่ไม่ได้เน้นสืบสวนเหมือนอย่างซีรีส์ที่มีแกนหลักเป็นตำรวจหรืออัยการอย่างที่เราเคยเห็นในเรื่องอื่นๆ แต่ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่การงัดกันระหว่าง 2 ฝั่งที่ต่างมีอาวุธที่เหมือนกันคือ ‘ข้อกฎหมาย’ ที่อยู่ในกำมือ ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะเดินหมาก แก้เกมส์กันอย่างไรให้ชนะในศึกสงครามครั้งนี้ เรื่องย่อ ในขณะที่นักเรียนทุกคนกำลังพิจารณาคดีอยู่ที่ศาลจำลอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อ อาจารย์ซอพยองจู ได้เสียชีวิตลง และถูกระบุว่าเป็นการฆาตกรรมอย่างแน่นอน แต่ใครกันแน่จะเป็นผู้ร้ายตัวจริง เมื่อทุกคนที่อยู่ในการพิจารณาก็ดูน่าสงสัยกันหมด….การสืบหาการตายของ     ซอพยองจูจึงได้เกิดขึ้นพร้อมกับเรื่องราวความลับมากมายที่ถูกเผยออกมาทีละนิด รีวิว  ชีวิตนักเรียนกฎหมาย Law School Law School เป็นเรื่องราวของเหล่าอาจารย์และนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในโรงเรียนกฎหมายมหาวิทยาลัยฮันกุก โรงเรียนกฎหมายระดับแนวหน้าของประเทศ ที่อยู่ๆก็ต้องเข้าไปพัวพันในคดีฆาตกรรมซอพยองจู (รับบทโดย อันแนซัง) อดีตหัวหน้าอัยการคนสำคัญและอาจารย์ในวิชาศาลจำลอง ที่ได้เสียชีวิตลงอย่างปริศนาภายในห้องรับรองในวันที่เรียนศาลจำลองกันอยู่ การสืบหาตัวคนร้ายของเหตุฆาตกรรมนี้จึงเริ่มต้นขึ้น แต่เมื่อตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้งหมดแล้วหลักฐานทั้งหมดกลับพุ่งเป้ามาที่ อาจารย์ยังจงฮุน (รับบทโดย คิมมยองมิน) อดีตอัยการฝีมือดีที่ต้องลาออกจากการเป็นอัยการเพราะคดีรับสินบนของซอพยองจู แต่เมื่อถึงขั้นต่อสู้ในชั้นศาล ความจริงและหลักฐานที่เป็นดั่งจิ๊กซอว์ก็ค่อยๆปรากฏออกมาอ่านต่อ

รีวิวซีรีส์ Imitation เส้นทางสู่ความฝันของการเป็นไอดอล

สวัสดีครัชสาวๆ วันนี้เราจะพาสาวๆไปทำความรู้จักกับหนุ่มหล่อ ควอนรย็อก หนุ่มบอยแบนด์วง Shax และสาวเกิร์ลกรุ๊ป อีมาฮา จากวง Teaparty กับเบื้องหลังของการเป็นไอดอลของพวกเขา กว่าจะเป็นศิลปินได้ต้องผ่านอุปสรรคและเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งผิดหวัง เสียใจ และร้องไห้ เรื่องราวของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร! และเพื่อที่จะไปถึงฝันพวกเขาต้องพบเจอกับอะไรกันบ้าง? ไปชมกันเลย^^ เรื่องย่อซีรีส์ เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดัง “Imitation” บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าไอดอลที่พยายามไล่ตามความฝัน ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดในวงการไอดอลเกาหลี มาฮา เป็นสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ป Teaparty สมาชิกคนอื่น ๆ ได้แก่ รีอาและฮยอนจี  ตั้งแต่เดบิวต์ ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเธอก็ยังไม่หยุดพยายามจนมีคนมามอบโอกาสในการเป็นศิลปินให้พวกเธออีกครั้ง และเมื่อมาฮาได้พบกับควอนรย็อก สมาชิกของวงบอยแบนด์ยอดนิยม Shax เรื่องราววุ่นๆก็ได้เกิดขึ้น รีวิว Imitation ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดเรื่องราวการเป็นไอดอลนะคะ ในเรื่องยังมีนักแสดงที่เป็นไอดอลอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แดนนี่อันสมาชิกวงG.O.D/ จียอนสมาชิกวงT-ARA/ คิมจีซุกสมาชิกวงRainbow/ อีจุนยองสมาชิกวงUKISS/ ชานฮีและฮวียองจากSF9 และอีกมากมายเรียกได้ว่ามีมาตั้งแรกรุ่นแรกจนรุ่นปัจจุบันเลยค่ะ^^ ฉากแรกจะเป็นฉากที่มาฮาโดนผู้จัดการทิ้งไว้ที่กองถ่ายทำให้ไม่มีรถกลับ เธอเลยตัดสินใจเดินไปตามทางเพื่อจะออกไปรอรถที่ถนนใหญ่ แต่บังเอิญว่ารถของควอนรย็อกผ่านมาพอดี เขากับผู้จัดการคิดว่ามาฮาเป็นผีเพราะคงไม่มีใครออกมาเดินตอนกลางคืนมืดๆคนเดียว จึงหยุดรถและให้ควอนรย็อกหันไปดู ต่างคนต่างกลัวแถมยังหลับตามองไปอีก^^ ฉากต่อมาเป็นฉากที่สาวน้อยมาฮาต้องไปเดบิวต์เข้าวงใหม่ ฉากนี้เราจะมาอวยความสามารถของมาฮากันค่ะ เธอเป็นคนที่หัวไวอ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE 2018

ถ้าเลือกได้ดูไปบ่นไปจะดูหนังและซีรีส์ทาง NETFLIX เป็นอันดับแรกด้วยความเสถียรและลื่นกว่าทุกแอปที่มีรวมถึง viu ที่มีข้อจำกัดที่ความคมชัดของภาพยังไม่เท่าไม่ค่อยเสถียร แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับอย่างหนึ่งว่าซีรีส์หรือหนังทาง NETFLIX (โดยเฉพาะของเกาหลี) หากไม่ใช่งานตีตรา Original จะค่อนข้างช้า  แอป viu เลยเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับซีรีส์ที่ผู้เขียนรอไม่ไหว  แล้วเมื่อตอนนั้นการรอคอยการมาของซีซันที่สองของซีรีส์ในตำนานที่ทั้งหลอนทั้งระทึกดิ่งลึกทางอารมณ์อย่าง Voice คืออาการใจจดใจจ่อ  และแน่นอนว่าปาดหน้าไปลงจอทาง viu ก่อนด้วยผลลัพธ์ที่ระทึกในแบบที่ดูกันยาวๆ  กับงานที่สานต่อความระทึกอารมณ์คุกรุ่นจากเกาหลีที่คราวนี้ไม่มีจางฮยอก รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร เปิดหัวที่เหตุการณ์ฆาตกรรมโหดที่มีความเกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู (อีจินอุค) ที่เผยให้เห็นปมในใจแบบรางๆให้น่าสงสัย  ต่อมาเหตุฆาตกรรมอำพรางหัวหน้าทีมปฏิบัติการของหน่วยโกลเด้นไทม์ทำให้เจ้าหน้าที่คังควอนจู (อีฮานา) ที่คราวนี้เป็น ผอ.ศูนย์ เกิดความเคลือบแคลงจึงเข้ามาสืบสวนร่วมกับสายสืบโดคังอูโดยไม่สนว่าสายสืบโดจะมีความน่าระแวงในพฤติกรรมถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมสายสืบ  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นก็เกี่ยวพันกับสายสืบโดคังอู ถ้านั่นยังไม่แย่พอเมื่อเป้าหมายการล่าของฆาตกรโรคจิตคือเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเด้นไทม์เอง  เมื่ออันตรายคืบคลานเข้าใกล้ทีมมากขึ้นผอ.คังควอนจูจึงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อใจโดคังอูเพื่อเผยโฉมฆาตกรตัวจริงที่อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งโดคังอูเอง  เมื่อฆาตกรโรคจิตทำงานอย่างไม่มีช่องโหว่ประสาทสัมผัสทางการฟังที่เหนือมนุษย์ของคังควอนจูจะไขคดีได้อย่างไร แต่แม้บทจะมีรอยรั่วบ้างแต่ความเป็น Voice ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ระทึกยังคงทำงานได้ผล ทุกคดีที่ทีมโกลเด้นไทม์ไขคือลุ้นแข่งกับเวลานาทีต่อนาทีที่ยังเร้าใจแม้ว่าในบางคดีก็หาทางออกง่ายไปและบางคดีก็ไม่ได้เสริมส่งเรื่องหลัก  ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าทีมโกลเด้นไทม์ถูกก่อตั้งมานานพอควรเลยทำให้การทำงานลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ  และสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือตัวฆาตกรโรคจิตที่ฉลาดและซ่อนความร้ายไว้ใต้รูปลักษณ์ภายนอกได้เนียน  ประกอบกับชั้นเชิงการหลอกล่อคนดูให้หลงไปตามที่บทขุดหลุมพรางไว้ด้วยอารมณ์ไม่เชื่อใจใครได้สักคนยกเว้นคังควอนจูและลูกทีมที่นั่งในสำนักงาน  บทยังคงชี้นำคนดูให้คิดและคาดเดาแล้วหักมุมหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่าตามสไตล์  และถ้านั่นยังไม่สาแก่ใจตัวเอกอย่างโดคังอูก็มีพื้นหลังให้น่าสงสัยทำให้เรื่องราวทั้งหมดจัดว่าดี  สนุก  ระทึกขาดแค่อารมณ์อึดอัดและหลอนๆในบรรยากาศเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องชมอีกอย่างของบทคือการไม่รอที่จะเปิดเผยตัวร้ายเพื่อที่จะเล่นประเด็นใหม่ เช่นกันกับซีซันแรกที่เมื่อคนดูรอมานานและเริ่มล้ากับความรู้สึกก็ไม่รีรอที่จะเปิดตัวคนร้าย  ทั้งนี้เมื่อเปิดตัวแล้วกลับส่งผลให้อารมณ์คนดูที่เริ่มล้าและหย่อนลงกลับขมึงตึงขึ้นด้วยการล่อหลอกของคนร้ายกับตำรวจ  และเหมือนกับเป็นลูกล่อลูกชนระหว่างบทกับคนดูที่ได้ผล  แต่ก็ยังดูเหมือนหาทางลงง่ายๆในบทสรุปเมื่อตัวร้ายคล้ายกับตายน้ำตื้นแล้วจบแบบค้างคาเพื่อให้มีต่อมาในซีซันสาม  และโดยรวมของซีซันนี้ถ้าว่ากันที่ภาพรวมและดีกรีความระทึกก็จัดว่าอยู่ในระดับเอาดีได้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเมื่อเทียบกับซีซันแรก  ถ้าวัดเป็นกราฟเส้นกราฟของซีซันแรกจะสูงขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบแต่ซีซั่นนี้เริ่มต้นที่สูงแล้วหย่อนลงตอนกลางและกับพุ่งสูงขึ้นเมื่อเปิดหน้าไพ่สำคัญซึ่งยังจัดว่าน่าพอใจ ข้อมูลเกี่ยกับซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น2 VOICE ประเภท     แอคชั่น  อาชญากรรม ความลึกลับ ความยาว อ่านต่อ

รีวิว ซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น3 VOICE 2019

ถ้าได้ดู Voice มาทั้งสองซีซันโดยเฉพาะซีซันที่แล้วที่ทิ้งท้ายไว้อย่างเป็นปริศนาน่าติดตามว่าซีซันสามจะเขียนบทกลับมายังไง  และเป็นธรรมดาหรือว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Voice ที่พอเริ่มก็จะเดินไปข้างหน้าเต็มสูบซึ่งคนที่เคยดูจะทราบดีในซีซันแรกจัดว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซ พอมาซีซันสองพลังอาจลดลงบ้างแต่ความระทึกยังมาเต็มและการปกปิดเงื่อนปมเพื่อสับขาหลอกคนดูยังมิดชิดและได้ผล  ก่อนที่จะทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสงสัยชนิดที่ถ้าไม่มีให้ดูแบบต่อเนื่องอาจมีหงุดหงิด  และการกลับมาในซีซันสามคือการสานต่อเรื่องราวจากซีซันสองที่ทิ้งท้ายไว้และกับปมประเด็นที่เล่าไว้ที่จะมาเฉลยกันในซีซันนี้ที่พยายามเล่นใหญ่ขึ้น  ซับซ้อนขึ้น  แต่พลังมันกลับลดลงอย่างน่าเสียดาย รีวิว ซีรีย์ล่าเสียงมรณะซีซั่น3 VOICE แปดเดือนให้หลังจากการไขคดีฆาตกรต่อเนื่องบังเจซูพร้อมกับอาการบาดเจ็บของผอ.คังควอนจู (อีฮานา) ที่ต้องทำกายภาพบำบัดและมีอาการผิดปกติที่หู  ส่วนหัวหน้าโดคังอู (อีจินอุค) หายตัวไป  จนเมื่อมีเหตุการณ์ฆาตกรรมอย่างสยดสยองที่ญี่ปุ่นแล้วหลักฐานไปพัวพันกับโดคังอูและเขาถูกตำรวจญี่ปุ่นจับ  ทีมโกลเดนไทม์จึงต้องเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อพาเขากลับมา  แต่เมื่อไปถึงก็มีคดีลักพาตัวนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่เกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ในทีมโกลเดนไทม์เอง  การไขคดีโดยใช้ความสามารถในการฟังของคังควอนจูโดยการร่วมมือของโดคังอูจึงสำเร็จแต่ก็เผยบางอย่างเกี่ยวกับโดคังอูที่ชวนสงสัย  เมื่อคดีแรกเริ่มต้นแล้วยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวเบื้องหลังของฆาตกรคนก่อนที่อยู่ในคุกการสืบคดีและสานต่อเรื่องราวก็เริ่มขึ้นบนความระทึกตื่นเต้นให้ได้ลุ้นได้ติดตามกันในทุกตอน แต่สิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่ซีซันที่แล้วก็ยังไม่กลับมาเรื่องความหลอน ถ้านั่นยังไม่หนำใจสิ่งที่ตกลงมาอีกคืออารมณ์ไม่ไว้วางใจใครได้ที่คราวนี้หายไปเลยเพราะทุกอย่างชี้ทางไปทางโดคังอูคนเดียวทำให้มิติของเรื่องหย่อนลงเพียงแต่ยังดูสนุกเข้าขั้น  แต่สิ่งที่เห็นว่าพยายามใส่มาในซีซันนี้คือการพยายามเล่นใหญ่ขึ้น  สเกลของเรื่องที่ใหญ่ขึ้น  บทที่พยายามซับซ้อนขึ้นซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่งเพียงแต่มันไม่สุด  การพยายามเชื่อมต่อหรือสานต่อ  ไม่สิ  มันคือเรื่องเดียวกันแต่แบ่งการเล่าเรื่องออกมาให้ได้สองซีซันมากกว่า  เพราะมันคือเรื่องเดียวกันแต่การพยายามซับซ้อนในเบื้องหลังมันไปลดทอนความน่าเชื่อถือที่พยายามสร้างมาในซีซันที่แล้ว เพราะซีซันที่แล้วการพยายามซ่อนปมเรื่องเบื้องหลังของบังเจซูถือว่ามิดชิด แต่บางครั้งการปิดไว้มิดจนเกินไปก็ไม่เป็นผลดีเพราะมันทำให้พอมาซีซันนี้กลายเป็นมาแบบลอยๆในเรื่องของด็อกเตอร์ฟาเบรในซีซันที่แล้วกับอ๊อคชั่นฟาเบรในดาร์กเว็ปในซีซันนี้เพราะดูเหมือนวัตถุประสงค์จะไม่เชื่อมโยงกัน  อีกส่วนหนึ่งที่ความพยายามซับซ้อนดึงเรื่องราวให้ดร็อปลงคือเรื่องของเทคโนโลยีไอทีที่เข้าใจยาก  ภาษาที่คนดูไม่คุ้นหูผู้ชมบางคนเลยไม่อิน (เช่นคนในวัยผู้เขียนนี่เอง) เพราะไม่เข้าใจในเบื้องหลังอย่างถ่องแท้  ซึ่งนั่นคือพื้นฐานที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวละครฆาตกรโรคจิต  และการที่คนดูรูสึกว่าเชื่อมต่อกันไม่ติดอารมณ์จะดร็อปลงในความน่าเชื่อถือและแรงจูงใจ แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมและยังคงทำหน้าที่ได้ดีคือบทในส่วนของเรื่องหลักและความเป็นเอกลักษณ์และความเป็น Voice ที่แม้การเดินเรื่องในส่วนของเรื่องหลักจะเป็นเส้นเรื่องเดียวกันแต่บทกลับทำหน้าที่ได้อย่างได้ผลในเรื่องของความระทึก  ความตื่นเต้นของการที่ต้องแข่งกับเวลา  เงื่อนปมที่ต้องปิดบังอย่างมิดชิด  ความเป็น Voice ที่จะมีในส่วนของการสืบหาตัวฆาตกรที่มอบความระทึกตื่นเต้นสงสัย  แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไม่รีรอที่จะเปิดตัวฆาตกรให้เห็นกันแล้วไปเล่นกับอารมณ์คนดูเรื่องของการหลอกล่อ  การเอาล่อเอาเถิดของฆาตกรกับตำรวจ และคนดูลุ้นว่าจะจับฆาตกรได้ยังไงหรือบทสรุปมันจะไปทางไหน  อีกอย่างคือฆาตกรของ Voice ทุกคนตั้งแต่ซีซันแรกคือคนที่ไม่น่าจะเป็นฆาตกร  การปกปิดตัวตนต้องเนี้ยบและฉลาด  เพียงแต่ในสองซีซันหลังพยายามขายความโหดมากไปเลยดูล้นไม่เหมือนกับซีซันแรกที่ยังมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวฆาตกรโรคจิต อีกสิ่งหนึ่งที่ Voice สัตย์ซื่อเสมอมาคือการไม่รีรอที่จะทำร้ายจิตใจคนดู ที่เป็นเสมอมาใน Voice คือการเลือกไม่ถนอมน้ำใจคนดูในบางเรื่องบางประเด็นซึ่งมันส่งผลให้อารมณ์คนดูอาจหดหู่แต่ได้ผลในการเรียกอารมณ์ร่วมซึ่งซีซันนี้ยังคงจัดเต็ม  เพราะการไม่ถนอมน้ำใจคนดูตอนนั้นมันสร้างอารมณ์ส่วนลึกของคนดูให้กลายเป็นปีศาจที่อยากจัดการฆาตกรอย่างสาสมและคนดูก็สาแก่ใจในตอนจบมาตั้งแต่ซีซันแรก  และสิ่งที่ผู้เขียนยังยืนยันเสมอมาคือตัวละครคังควอนจูและการแสดงของอีฮานาที่มองว่าคงไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่าเธอแล้ว  ยิ่งในซีซันนี้บทพยายามใส่มิติของเรื่องการบาดเจ็บทางหูให้เธอได้แสดงออกทางอารมณ์แต่เมื่อถึงเวลากลับหาทางออกแบบง่ายๆอย่างน่าเสียดาย  แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นในสถานการณ์ในเรื่องที่อึดอัดและต้องพบเจอหรือตัดสินใจในเรื่องโหดหินหรือแม้กระทั่งความไว้ใจอีฮานาเอาอยู่เช่นเคย ซึ่งผู้เขียนดูอีฮานาเล่นเป็นคังควอนจูมาสามซีซันแล้วรู้สึกสงสาร เพราะด้วยส่วนสูงของเธอทำให้ไม่ได้เห็นเธอเดินหรือยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย  กลายเป็นต้องค้อมหลังห่อใหล่เพราะไม่เช่นนั้นเธอจะดูสูงกว่าดาราชายหลายๆคนและถ้าสังเกตดีๆจะเห็นมุมกล้องที่ทำให้ส่วนสูงของเธอไม่ข่มคนอื่น อ่านต่อ

รีวิวซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น1 Voice 2017

เมื่อครั้งที่ดูไปบ่นไปได้ดูเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ระทึก  ติดหนึบ  และต้องติดตาม  กับซีรี่ส์เกาหลีแนวทริลเลอร์สืบสวนสอบสวนซับซ้อนซ่อนเงื่อนตามแบบฉบับ  ที่มีดีขนาดที่มีการสร้างเวอร์ชั่นไทยฉายทาง True Visions  ย้อนกลับมาเมื่อตอนที่ผู้เขียนได้ดูเรื่องนี้ที่ตอนนั้นก็ได้ผ่านตาซีรีส์เกาหลีแนวๆนี้มาพอสมควร  แต่ฉับพลันที่ได้สัมผัสความดิ่งลึกที่กดอารมณ์คนดูตั้งแต่ตอนแรกอย่างทรงพลัง ตามมาด้วยความโหดและคดีที่ยากผ่านการใช้ความสามารถพิเศษของตัวเอกที่เอาตามจริงถ้าว่ากันที่การเดินเรื่องและภาพรวมก็ยังเป็นไปตามทิศทางของซีรีส์แนวนี้  แต่สิ่งที่ทำให้เป็นความต่างคือเรื่องของอารมณ์ซึ่งผู้เขียนที่เป็นคอเกาหลีคงไม่ก้าวล่วงไปที่เวอร์ชั่นไทยแต่คงจะว่ากันที่ความดีงามของต้นฉบับล้วนๆที่ทำให้กลายมาเป็นตำนาน รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น1 Voice 2017 คังควอนจู (อีฮานา) ตำรวจหญิงที่ประสาทสัมผัสทางการได้ยินเหนือมนุษย์ที่ทำหน้าที่รับเรื่องราวแจ้งเหตุทางศูนย์รับแจ้งเหตุ  เมื่อความผิดพลาดทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือเหยื่อฆาตกรรมได้แล้วเหยื่อยังเป็นภรรยาของนายตำรวจมือปราบมูจินฮยอก (จางฮยอก) แต่ท้ายที่สุดคนร้ายตัวจริงกลับลอยนวลไปทิ้งให้ตำรวจหญิงกับนายตำรวจมีปมในใจ  สามปีให้หลังทั้งคู่ต้องมาร่วมมือกันในทีมช่วยเหลือเฉพาะกิจโกลเด้นไทม์ที่จะออกไปให้ความช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว  หลายคดีผ่านไปเหมือนกับไม่มีอะไรแต่เบื้องลึกกลับมีความเกี่ยวข้องกัน  และนำไปสู่เรื่องราวน่าสะพรึงเมื่อเริ่มมีคดีที่มาเกี่ยวพันกับคดีที่ติดค้างในใจมูจินฮยอก เมื่อการสืบสวนเริ่มเข้าใกล้ฆาตกรตัวจริงที่สังหารภรรยามูจินฮยอกอย่างสุดโหด  แต่ฆาตกรรายนี้ก็ตึงมือยิ่งและมีความเป็นไปได้ว่ามูจินฮยอกจะใช้อารมณ์ในการสืบคดีแล้วคังควอนจูจะทำเช่นไร เหตุที่ทำให้เรื่องนี้กลายมาเป็นตำนานคือความแน่นหนาของบทละครที่คล้ายถักร่างแหด้วยฝีมืออันประนีต บทยังคงเสนอการหักเหลี่ยม  เชือดเฉือน  หักมุม  คิดไม่ถึง อึ้งแล้วอึ้งเล่าตามแบบฉบับของซีรี่ส์เกาหลีแนวนี้ที่เข้มข้นตั้งแต่ต้นจนจบ  สิ่งที่ควรมีก็มีหมดทั้งประเด็นทางชนชั้น  บริบททางสังคม  ความฉ้อฉลของผู้มีอำนาจที่มักได้เห็นในซีรี่ส์ชวนระทึก  และเมื่อถึงตอนท้ายเมื่อคนร้ายได้รับผลกรรมคนดูก็สาแก่ใจและมันคือเสน่ห์ของซีรี่ส์เกาหลีเสมอมา  และทุกสิ่งที่ว่ามานั้นถูกเล่าไม่มีช่องให้เดาทางได้หรือเดาได้ก็จะมีจุดพลิกจุดเปลี่ยนให้หลง  ด้วยการเอาเรื่องเก่าๆที่ว่ามามาใช้อย่างได้ผลจากการวางตัวร้ายให้เป็นปีศาจเต็มที่ที่ฉลาดเป็นกรด  การซ่อนและล่อหลอกคนดูอย่างมิดชิดซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นการสร้างมิติตัวร้ายที่ลึกและซับซ้อนทางจิตที่แปลกไปหรือไม่  เพราะลองนึกดูเรื่องอื่นๆในตอนนั้นก็มองไม่เห็นตัวร้ายที่เนี้ยบๆแบบนี้ที่คนดูทั้งสงสัยว่าเป็นใครและรังเกียจสุดใจเมื่อได้รู้ ส่วนตำรวจก็มีที่ขาวไปเลยคือคังควอนจูแต่มูจินฮยอกนั้นได้ถูกความแค้นผลักให้ไปอยู่ที่สีเทาและพร้อมจะเป็นปีศาจได้ทุกเมื่อ  แต่นั่นคือการขีดเส้นแบ่งทางหัวใจเพราะคนดูจะเลือกเทใจให้คังควอนจูและความสงสารเห็นใจมูจินฮยอก และด้วยความที่ตัวร้ายฉลาดและอยู่ในที่มืดแถมยังไม่สนกฎเกณฑ์ใดทำให้ฝ่ายตำรวจดูเหมือนตามหลังอยู่หนึ่งก้าวทุกที  แล้วมันยิ่งเร้าใจเพราะคนดูต้องการรางวัลบ้างแต่เมื่อมีอะไรจะให้คนดูสมใจก็กลับกลายเป็นโดนหลอกล่อไปทุกครั้ง  มันจึงสร้างความน่าติดตามอย่างหนักผ่านความเหนือชั้นเข้มข้น  เรื่องราวที่ซ่อนเงื่อนซ่อนปมไว้อย่างมิดชิดเฉลยทีถึงกับอ้าปากค้าง   ประกอบกับชั้นเชิงในการเล่าเรื่องตามขนบซีรี่ส์เกาหลีที่ใครก็อย่าหลวมตัวถ้าไม่อยากติดงอมแงม  ทำให้กลายเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซเรื่องหนึ่งด้วยงานด้านบทที่ไร้ที่ติ แต่สิ่งที่ต่างไปจากซีรีส์แนวนี้ทั่วไปคืองานด้านภาพ  แสง  เงาอันส่งผลต่ออารมณ์คนดู ด้วยการจัดเต็มความโหดจนบางครั้งคนขวัญอ่อนอาจมีเบือนหน้าหนี  ภาพเลือดที่กระจัดกระจาย  การกระทำต่อเหยื่อที่โหดร้ายเกินมนุษย์แต่กระนั้นก็สร้างความชอบธรรมด้วยมิติของตัวร้ายที่ได้วางไว้อย่างเนียนๆ  ประกอบกับฉากที่ดูชื้นแฉะเหมือนเปียกเปื้อนคราบเลือด  ความมืดทึมของแสง  มุมกล้องและการตัดต่อที่เหมือนกับใช้เทคนิคของงานสยองขวัญดีๆมาใส่ทำให้มีอารมณ์หลอนไม่น่าไว้ใจในสถานที่  และเมื่อตัวเอกมีความสามารถทางการได้ยินเหนือมนุษย์ความเงียบเพื่อจับเสียงเพียงเล็กน้อยจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ได้ผล  เมือคนดูแทบกลั้นหายใจเพราะกลัวไปรบกวนการได้ยินของคังควอนจู ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นมันคือการกดอารมณ์คนดูให้ดิ่ง อ่านต่อ

รีวิว ซีรีย์โรแมนติกย้อนยุค นางในใจกล้า (The Red Sleeve)

สวัสดีอีกครั้งค่า ไม่คิดว่าจะได้เขียน รีวิว+ชวนคุย กับซากึกเกาหลีเรื่องที่สองเร็วขนาดนี้ แต่หลังจากที่ดูตอนสุดท้ายที่สุดจะตับไตพังไปก็อดที่จะคันมือไม่ได้ วันนี้จะมาชวนคุยเรื่อง The Red Sleeve (2021) ซากึกย้อนยุคที่เรทติ้งตอนจบสูงถึง 17.4% ถึงเรื่องจะเป็นเมโลดราม่า แต่แอบมีขำขันเบาๆ หลายช่วงก็น้ำตาไหลพรากเป็นสายเลือดเหมือนกัน อยากแนะนำอีกสักเรื่อง จนได้ออกมาเป็นบทความนี้ครับ MBC เริ่มส่งสัญญาณการเตรียมออกอากาศ ‘The Red Sleeve Cuff’ ซีรีส์แนวย้อนยุคโรแมนติกเรื่องใหม่ที่หลายคนต่างรอคอยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งได้รับความสนใจไม่เพียงเฉพาะพล็อตเรื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาหวนคืนจออีกครั้งของ อีจุนโฮ ครั้งแรกหลังจากปลดประจำการ ล่าสุด ได้มีการปล่อยภาพนิ่งเซ็ตแรกของ อีจุนโฮ ออกมาให้ตื่นเต้นกันถ้วนหน้า รีวิวไม่สปอย The Red Sleeve Cuff เป็นผลงานที่สร้างจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ นักเขียนคังมีคัง ที่ได้รับความนิยม ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับความรักในราชสำนัก ระหว่าง กษัตริย์แห่งโชซอนผู้ให้ความสำคัญกับประเทศชาติมากกว่าความรัก กับ สตรีในราชสำนักผู้ต้องการปกป้องชีวิตที่ตนเองเลือก ผ่านเรื่องราว ของ พระเจ้าจองโจ (อีซาน) ผู้ต้องการให้สตรีในราชสำนักนางหนึ่งที่พระองค์รักมาเป็นนางสนม แต่นางผู้นั้นกลับปฏิเสธเพราะต้องการชีวิตที่เป็นอิสระ เพราะรู้ดีว่าการเป็นสนมไม่ได้นำมาซึ่งความสุข อย่างไรก็ตามเธอได้กลายมาเป็นสนมเอกในพระเจ้าจองโจในที่สุด ในเรื่องนี้ อีจุนโฮ จะสวมบทบาท ‘อีซาน’ หลานชายองค์โตของกษัตริย์ ผู้รักความสมบูรณ์แบบ พระองค์พยายามอย่างไม่ลดละเพื่อที่จะเป็นกษัตริย์ที่ดี ขณะที่การจากไปของพระบิดายังคงเป็นบาดแผลภายในใจของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ได้พบกับสตรีนางหนึ่งที่มีชื่อว่า ซองด็อกอิม (รับบทโดย อีเซยอง) พระองค์เริ่มที่จะเผยด้านโรแมนติกที่ตัวเองไม่เคยรู้ว่ามี ต่อมาอีซานได้ขึ้นเป็น พระเจ้าจองโจ กษัตริย์โชซอน และได้แสดงเสน่ห์ไม่อาจต้านทานได้ ที่สลับไปมาระหว่างการเป็นกษัตริย์ผู้มีเสน่ห์และเย็นชา และ ชายที่มีความรักอย่างแรงกล้าต่อหญิงนางหนึ่งในราชสำนักอ่านต่อ